วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

คณะผู้จัดทำ

1.นางสาว  อรุณวรรณ        พูนเขาทอง          เลขที่  1

 2.นางสาว  สิริพร                สุนทรทิพย์           เลขที่  7 

3.นางสาว  อาภากร            พัฒนดีกุล            เลขที่  9

  4.นางสาว  รวิวรรณ            ชูวงศ์                    เลขที่  10

   5.นางสาว  เบญจพร           ส่งเเสง                 เลขที่  17





อ้างอิง :  http://www.rsu.ac.th/science/physics/pom/physics_2/sound/sound_1.htm



เฉลย
1. ข
2. ค
3. ข
4. ก
5. ค
6. ก
7. ค
8. ก
9. ก 
10.ข



แบบทดสอบ


1.ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับเสียง
ก. เสียงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง
ข. มนุษย์สามารถได้ยินเสียงในช่วง 20 - 20,000 เฮิร์ซ
ค. เสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20,000 เฮิร์ซ เรียกว่าเสียงอินฟราโซนิก (Infrasonic)
ง. อุณหภูมิไม่มีผลต่ออัตราเร็วของเสียง


2.เสียงที่ดังที่สุดหูมนุษย์สามารถรับฟังได้มีความเข้มและระดับความเข้มเท่าไร

ก. 104 W/m2 และ 160 dB 
ข. 10 W/m2 และ 140 dB
ค. 1 W/m2 และ 120 dB
ง. มากกว่า 10-2 W/m2 และมากกว่า 160 dB

3.ความดังและระดับเสียงขึ้นกับปัจจัยในข้อใด
ก. ความถี่และความยาวคลื่น ตามลำดับ
ข. อัมปลิจูดและความถี่ ตามลำดับ
ค. อัตราเร็วและความถี่ ตามลำดับ
ง. ความยาวคลื่นและอัมปลิจูด ตามลำดับ


4.จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
1.เมื่อคลื่นเสียงเดินทางผ่านอากาศ จะทำให้ความดันอากาศ ณ บริเวณนั้นเกิดคลื่นอัด
    ความดันอากาศจะสูงกว่าปกติ
2.ทุกครั้งที่เกิดเสียงจากวัตถุ วัตถุจะเกิดการสั่นสะเทือน
3.เสียงเป็นคลื่นตามขวาง เดินทางโดยอาศัยตัวกลาง

    คำตอบที่ถูกต้องคือ
ข้อ 1 และ 2            ข้อ 1 และ 3              ข้อ 2 และ 3               ข้อ 1 , 2 และ 3

5.ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นเสียง
1.อัตราเร็วของเสียงในอากาศลดลงเมื่ออุณหภูมิของอากาศเพิ่มขึ้น
2.เสียงเดินทางผ่านตัวกลางต่างชนิดได้ดีไม่เท่ากัน
3.เมื่อเสียงเดินทางผ่านตัวกลางจะทำให้ตัวกลางเกิดการสั่นสะเทือน
 ก.  ข้อ 1 และ 2           .  ข้อ 1 และ 3              .  ข้อ 2 และ 3               .  ข้อ 1 , 2 และ 3


6. จงหาความยาวคลื่นของเสียงซึ่งมีความถี่ 1,000 เฮริตซ์ ขณะคลื่นเสียงผ่านน้ำทะเล
 กำหนดให้อัตราเร็วของเสียงในน้ำทะเลเท่ากับ 1,500 เมตรต่อวินาที
 ก.  1.5  เมตร               .  1.0  เมตร                 .  0.67  เมตร                 .  0.50  เมตร

7.ข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูก
1. ระดับเสียง เป็นสิ่งทำให้ทราบว่าเสียงดังหรือเสียงเบา
2. ความเข้มเสียง เป็นสิ่งที่ทำให้ทราบว่าเสียงดังหรือเสียงเบา
3. ความดังของเสียงขึ้นกับกำลังของแหล่งำเนิดเสียงและระยะห่างจากแหล่งกำเนิดเสียง
. ข้อ 1 , 2 และ 3      . ข้อ  1 , 3                     . ข้อ 2 , 3                       . ข้อ 1, 2

8. ข้อใดถูกต้อง
1. เสียงเบาที่สุดที่หูมนุษย์เริ่มได้ยินอยู่ที่ 10- 12   วัตต์/ตารางเมตร
2. เสียงดังที่สุดที่หูมนุษย์ทนฟังได้อยู่ที่   วัตต์/ตารางเมตร
3. เสียงที่หูคนปกติรับฟังได้อยู่ที่ระดับ 0 – 120 เดซิเบล
. ข้อ 1 , 2 และ 3      . ข้อ  1 , 3                     . ข้อ 2 , 3                        . ข้อ 1, 2

9. สิ่งที่ช่วยแยกประเภทของแหล่งกำเนิดเสียงได้คือ
.    คุณภาพเสียง         .   ความเข้มเสียง         .   ระดับเสียง               ระดับความเข้มเสียง

10. จงหาความถี่ของคลื่นเสียง ขณะคลื่นเสียงผ่านอากาศที่อุณหภูมิ  25 องศาเซลเซียส ถ้าความยาวคลื่นเสียงเท่ากับ 0.17  เมตร
.   1  กิโลเฮริตซ์          . 2  กิโลเฮริตซ์             . 3  กิโลเฮริตซ์             . 4  กิโลเฮริตซ์







        
  
        เนื้อหา       เเบบฝึกหัด     เฉลย     ผู้จัดทำ   

           เสียงเป็นคลื่นตามยาวชนิดหนึ่งซึ่งอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ดังนั้นคุณสมบัติของเสียง
จึงเหมือนคลื่นทุกประการ ตามปกติหูคนสามารถได้ยินเสียงในช่วงความถี่ 20 เฮิร์ตซ์ ถึง
20,000 เฮิร์ตซ์ คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20,000 เฮิร์ตซ์นั้น เรียกว่าคลื่นเหนือเสียงหรือ
อัลตราโซนิก (ultrasonic) ส่วนเสียงที่ความถี่ต่ำกว่า 20 Hzเรียกว่าคลื่นใต้เสียงหรืออินฟราโซนิก
(Infrasonic Wave)

ธรรมชาติเเละความดันของเสียง
        เสียงเป็นคลื่นความดัน (Pressure Wave) จะต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ดังนั้นจึง
สามารถเคลื่อนที่ผ่านอากาศ ของแข็งหรือของเหลว แต่ไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านสูญญากาศได้
        คลื่นเสียงเป็นคลื่นตามยาวเกิดจากการสั่นของวัตถุ ความถี่ของเสียงจะมีค่าเท่ากับความถี่
ของแหล่งกำเนิด และในขณะที่มี การสั่น โมเลกุลของตัวกลางจะมีการถ่ายทอดพลังงานทำให้เกิด
ความดันอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปตามตำแหน่ง ทำให้เกิดเป็นช่วงอัด และ ช่วงขยายโดยที่ช่วงอัด
คือบริเวณที่อนุภาคของตัวกลางอัดเข้าหากัน บริเวณนี้มีจะมีความดันสูงสุดโดยเทียบกับความดัน
ที่ตำแหน่ง สมดุลของอนุภาค โดยการขจัดของอนุภาคน้อยที่สุด ส่วนช่วงขยายคือบริเวณที่
อนุภาคตัวกลางแยกห่างจากกัน บริเวณนี้มีความดัน ต่ำสุดโดยเทียบกับความดันที่ตำแหน่งสมดุล
ของอนุภาค การขจัดของอนุภาคมากที่สุด ซึ่งสามารถเขียนเป็นกราฟได้ ดังรูป

อัตราเร็วเสียง
                 อัตราเร็วเสียงขึ้นอยู่กับคุณสมบัติตัวกลางที่เสียงเคลื่อนที่ผ่าน ได้แก่ ความหนาแน่น 
ความยืดหยุ่น เป็นต้น โดยปกติเสียงเดินทาง ในของแข็งได้ดีที่สุด รองลงมาคือของเหลวและก๊าซ นอกจากนี้อัตราเร็วเสียงยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของตัวกลางที่เสียงเคลื่อนที่ผ่าน โดยพบว่า 
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น อัตราเร็วเสียงจะมีค่ามากขึ้น สำหรับตัวกลางที่เป็นอากาศ อัตราเร็วเสียง
ที่อุณหภูมิใด ๆ หาได้จาก

                                                      v = 331 + 0.6 t      

คุณลักษณะของเสียง
                      คลื่นเสียง คือ คลื่นตามยาวซึ่งหูของคนเราสามารถได้ยินเสียงได้ โดยคลื่นนี้มีความถี่
ตั้งแต่ประมาณ 20 Hz  ถึง 20,000 Hz ความถี่เสียงในช่วงนี้เรียกว่า audio frequency
        เสียงที่คนเราสามารถได้ยินแต่ละเสียงอาจเหมือนกันหรือแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะ
ของเสียงซึ่งมีอยู่ 3 ข้อ คือ
        1. ความดัง (Loundness) หมายถึง ความรู้สึกได้ยินของมวลมนุษย์ว่าดังมากดังน้อย ซึ่งเป็น
ปริมาณที่ไม่อาจวัดด้วยเครื่องมือใด ๆ ได้โดยตรง ความดังเพิ่มขึ้นตามความเข้มเสียง ความรู้สึก
เกี่ยวกับความดังจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับระดับความเข้มเสียง โดยถ้า I แทนความเข้มเสียง ความดัง
ของเสียงจะแปรผันโดยตรงกับ log I หรืออาจกล่าวได้ว่า ความดังก็คือระดับความเข้มเสียงนั่นเอง
หูของคนสามารถรับเสียงที่มีความดังน้อยที่สุดคือ 0 dB และมากที่สุดคือ 120 dB
        2. คุณภาพของเสียง (quality) หมายถึง คุณลักษณ์ของเสียงที่เราได้ยิน เมื่อเราฟังเพลงจาก
วงดนตรีวงหนึ่งนั้น เครื่องดนตรี ทุกชนิดจะเล่นเพลงเดียวกัน แต่เราสามารถแยกได้ว่า เสียงที่ได้ยิน
นั้นมาจากดนตรีประเภทใด เช่น มาจากไวโอลิน หรือเปียโน เป็นต้นการที่เราสามารถแยกลักษณะของ
เสียงได้นั้นเพราะว่าคลื่นเสียงทั้งสองมีคุณภาพของเสียงต่างกัน คุณภาพของเสียงนี้ขึ้นอยู่กับ
จำนวนโอเวอร์โทนที่เกิดจากแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ๆ และแสดงออกมาเด่น จึงไพเราะต่างกัน
นอกจากนี้คุณภาพของเสียงยังขึ้นกับ ความเข้มของเสียงอีกด้วย
        3. ระดับเสียง (pitch) หมายถึง เสียงที่มีความยาวคลื่นและความถี่ต่างกัน โดยเสียงที่มีความถี่สูง
จะมีระดับเสียงสูงส่วนเสียงที่มี  ความถี่ต่ำจะมีระดับเสียงต่ำ


กลไกการได้ยินเสียง


            ช่องหูจะทำให้คลื่นเสียงที่มีความถี่ระหว่าง 2,000 – 5,000 Hz มีพลังงานสูงขึ้นเนื่องจากเกิด
resonance ในช่องหู ถ้าความถี่ ต่ำกว่า 400 Hz การรับคลื่นเสียงไม่ค่อยดี ทั้งใบรูและช่องหูทำให้เกิด
การขยายเสียง เมื่อคลื่นเสียงไปกระทบแก้วหู ซึ่งต่ออยู่กับกระดูก 3 ชิ้น ซึ่งประกอบกันแบบคาน
ดีดคานงัดจึงมีการได้เปรียบเชิงกลเกิดขึ้นทำให้มีแรงเพิ่มขึ้น กระดูกโกลนซึ่งอยู่ที่ตำแหน่งสุดท้ายมี
 ความแตกต่างระหว่างพื้นที่กับหน้าต่างรูปไข่มาก เมื่อมีแรงมากระทำจะทำให้ความดันเพิ่มขึ้น
 จึงเกิดการขยายเสียงขึ้นประมาณ 30 เท่า จากนั้นเสียงก็จะเดินทางเข้าสู่หูส่วนใน สัญญาณเสียงก็จะ
เกิดการขยายอีก เมื่อคลื่นเสียงผ่านหูส่วนในก็จะทำให้เยื่อบาซิลาร์สั่น ปลายประสาทที่เยื่อบาซิลาร์
ก็ส่งสัญญาณต่อไปยังสมอง ทำให้เกิดความรู้สึกในการได้ยินเสียง